
รักปลอดภัย
อย่าไว้ใจเอดส์

ความสำคัญของโรคเอดส์
ในปัจจุบัน ปัญหาสาธารณสุขที่เป็นปัญหาสำคัญในอันดับต้นๆ ของหลายประเทศคงไม่พ้นปัญหาการแพร่ ระบาดของเชื้อไวรัส HIV ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและคาดว่าจะเป็นปัญหาที่สำคัญต่อไปในอนาคต หลายๆ ประเทศได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าวและหามาตรการในการลดการแพร่ระบาดของเชื้ออยู่อย่างต่อเนื่อง และในส่วนของนักวิจัยได้มีการวิจัยเพื่อค้นหายาใหม่ เพื่อเป็นความหวังจะนำมาใช้เป็นยารักษาหรือป้องกันโรคเอดส์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งในปัจจุบันงานวิจัยเหล่านี้ได้มีการพัฒนาไปมาก บทความนี้จะได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยใหม่ๆ ที่เป็นความหวังในการรักษาโรคเอดส์ที่เชื่อว่าน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าในปัจจุบัน
เอชไอวี เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันบกพร่องในคน ส่วนโรคเอดส์ หมายถึงกลุ่มอาการของภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ได้เป็นแต่กำเนิด ปัจจุบันนี้การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลกและประเทศไทย จากรายงานขององค์การอนามัยโลกคาดว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกประมาณ 35 ล้านคนเมื่อสิ้นปีพ.ศ. 2555 สำหรับในประเทศไทยมีรายงานผู้ติดเชื้อเอชไอวีเกือบ 6 แสนคน และเสียชีวิตประมาณ 3 หมื่นคน ความชุกของการติดเชื้อเอชไอวีเท่ากับร้อยละ 1.4 แต่ในความเป็นจริงคาดว่ามีผู้ติดเชื้อสะสมประมาณ 1 ล้านคนตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อรายแรกในประเทศเมื่อปีพ.ศ. 2530 การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์เป็นโรคที่รักษาได้แต่ไม่หายขาด เป็นโรคติดต่อเรื้อรังเหมือนโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวาน แต่ 2 โรคหลังนี้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ ทางหลักของการติดต่อที่พบมากที่สุดในประเทศไทยคือ ทางเพศสัมพันธ์ทั้งที่เป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศ ส่วนการติดต่อทางอื่นที่พบได้คือ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน รวมถึงการสักและจากมารดาสู่ทารก หลังจากได้รับเชื้อเอชไอวีในช่วงแรกผู้ป่วยอาจจะไม่มีอาการใดๆ เลยก็ได้ ผู้ติดเชื้อครึ่งหนึ่งอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด หลังจากนั้นอาการจะดีขึ้นเองแม้ไม่ได้รับการรักษาและจะเข้าสู่ระยะติดเชื้อที่ไม่มีอาการ แต่เนื่องจากเชื้อไวรัสมีการแบ่งตัวตลอดเวลาจึงทำให้เม็ดเลือดขาวซีดีสี่ ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคลดต่ำลงไปเรื่อย ๆ หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ระยะมีอาการเช่น น้ำหนักลด, ฝ้าขาวในปาก, ท้องเสียเรื้อรังหรือมีตุ่มคันขึ้นตามแขนขา และระยะสุดท้ายคือ เอดส์ ซึ่งเป็นระยะที่เม็ดเลือดขาวซีดีสี่ต่ำมากและหรือมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อนเช่น วัณโรคหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา เป็นต้น ซึ่ง 2 ระยะหลังนี้ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์และได้รับการวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี
นอกจากการให้ยาเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสในผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ภูมิคุ้มกันต่ำมากแล้ว หัวใจสำคัญที่สุดของการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีคือ การรักษาด้วยยาต้านเอชไอวี การใช้ยาอย่างน้อย 3 ชนิดรวมกันเป็นสูตรยาที่เหมาะสมและถูกต้อง จะนำไปสู่การรักษาการติดเชื้อเอชไอวีที่ควบคุมได้คือ ไม่สามารถตรวจพบไวรัสในเลือด ทำให้มีภูมิคุ้มกันดีขึ้นหรือจำนวนเม็ดเลือดขาวซีดีสี่สูงขึ้น มีอุบัติการณ์ของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสลดลง อัตราตายลดลงและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เนื่องจากยังไม่มียาต้านเอชไอวีชนิดใดที่สามารถรักษาการติดเชื้อเอชไอวีให้หายขาดหรือยับยั้งการดำเนินของโรคได้นานตลอดไป ดังนั้นผู้ติดเชื้อเอชไอวีจึงต้องกินยาทุกวันตลอดชีวิต ในปัจจุบันได้มีการพัฒนายาชนิดใหม่ๆ ที่กินง่าย มีผลข้างเคียงน้อย หรือเป็นแบบรวมเม็ดที่กินวันละ 1 เม็ด และมีราคาถูกลงกว่าเดิมมาก รวมไปถึงมีการพัฒนารูปแบบยาให้เป็นแบบฉีดและยาที่ออกฤทธิ์ในนาน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยที่จะพยายามทำให้โรคหายขาด ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 2 หลักการที่อาจจะเป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้คือ การรักษาเร็วตั้งแต่ที่มีการติดเชื้อใหม่ๆ แต่ปัญหาคือผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ทราบว่าตนเองติดเชื้อเมื่อมีอาการหรือติดเชื้อมานานแล้ว และการปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งทั้ง 2 หลักการนี้ยังคงต้องรอการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป




